วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

we were soldiers


เป็นภาพยนตร์ base true story อีกเรื่องหนึ่งครับนำแสดงโดย เมล กิ๊ปสัน เป็นเรื่องของ G.I. ที่ไปรบสงครามเวียตนามในปี 1965 ครับ

...เรากำลังเคลื่อนทัพเข้าไปยังหุบเขามรณะ พวกคุณจะต้องคอยดูแลคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า ซึ่งขณะเดียวกันเขาก็จะคอยดูแลคุณด้วย พวกคุณจะต้องไม่ใส่ใจว่าเขาจะมีสีผิวอะไร หรือจะเอ่ยพระนามของพระเจ้าว่าอย่างไร เรากำลังเดินสู่สมรภูมิเพื่อทำศึกกับศัตรูที่มีความมุ่งมั่นและอดทนเป็นเลิศ ผมไม่สามารถให้สัญญาพวกคุณได้ว่า ผมจะนำพวกคุณกลับบ้านได้ทุกคน แต่ผมก็ขอสาบานว่าเมื่อเราเข้าสู่สมรภูมิรบ ผมจะเป็นคนแรกที่เข้าไปและจะเป็นคนสุดท้ายที่ออกมา ผมจะไม่ทิ้งใครก็ตามไว้ข้างหลัง ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นหรือตายเราทั้งหมดจะกลับบ้านด้วยกัน"" ทั้งหมดเป็นคำพูดของพันเอกฮัล มัวร์ ที่ได้กล่าวไว้ต่อหน้าเหล่าทหารและครอบครัวของพวกเขา ที่อยู่ต่อหน้าเขาคือ เด็กหนุ่มที่ยังอ่อนเดียงสาต่อสงครามและชายฉกรรจ์ที่มีบาดแผลจากสงคราม ท่ามกลางผู้ที่นั่งฟังสุนทรพจน์ของมัวร์ ก็มีภรรยาของเขาที่ชื่อจูลี่รวมอยู่ด้วย เมื่อคืนนี้เธอเห็นสามีของเธอตื่นขึ้นกลางดึกเพื่ออ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการสังหารหมู่และยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับกองพันทหารม้าที่เจ็ดของเขา อันเป็นกองพันเดียวกันกับที่พลเอกจอร์จ อาร์มสตรองเคยคุมมาแล้ว ในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน ปี 1965 เวลา 10.48 น. พันเอกฮัล มัวร์ และกองพันของเขาได้ย่างกรายเข้าสู่เขตสมรภูมิในหุบเขาลาดรังหรือที่ชาวเวียดนามรู้จักกันดีในชื่อหุบเขามรณะ ด้วยความที่เป็นนายทหารที่ยึดมั่นในคำพูดนายพันมัวร์เป็นผู้ก้าวเท้าลงบนสนามรบเป็นคนแรก และได้พบว่าเขาและทหารในสังกัดของเขาประมาณ 400 คน ถูกล้อมโดยทหารเวียดนามเหนือกว่า 2,000 นาย สงครามครั้งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสงครามที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และถือเป็นการปะทะกันครั้งแรกระหว่างทหารฝ่ายเวียดนามเหนือและอเมริกา We were Soldiers เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่วีรกรรมของเหล่าทหารหาญที่สละชีพในศึกครั้งนั้น นอกจากนี้ยังเชิดชูในเลือดรักชาติของทหารทั้งสองฝ่าย ตลอดจนนำเสนอวีรกรรมและการเสียสละของชายหญิงทั้งที่อยู่ในแนวหน้าและแนวหลัง

ท่านที่ชอบภาพยนตร์แนวสงครามเชิญ download ได้เลยครับ

บุญเพ็งหีบเหล็ก







ประเดิมเรื่องแรกเป็นหนังไทยโบราณ ประมาณซัก 30 ปีได้ครับ "บุญเพ็งหีบเหล็ก" เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของฆาตกรคนหนึ่ง ฆาตกรรายนี้มิได้อยู่ไกลจากเราเลยครับ เขาอยู่ในประเทศไทยนี่แหละและเป็นนักโทษรายสุดท้ายในประวัติศาสตร์ไทยนับจากปี2475เป็นต้นมาที่ตายไปโดยไม่มีศีรษะอยู่บนบ่า"บุญเพ็ง" หากเรียกเฉยๆ คงอาจไม่มีใครทราบได้นะครับ ว่า เขาคือใคร............................หลายคนอาจคิดว่า เขาเป็น หมอดูที่หน้าหยก กิริยานอบน้อม และมีความเฉลียวฉลาดแต่....................................!!!หากเรียกว่า "บุญเพ็ง หีบเหล็ก" หลายคนคงจะทราบดีนะครับฆาตกร ฆ่าหั่นศพหญิงสาวในย่านบางลำภู ช่วง พุทธศักราช 2461 "บุญเพ็ง" พระนอกรีตที่ถูกจับสึกเพราะทำผิดวินัยสงฆ์ต่อมาตั้งตนเป็นอาจารย์ มีคาถาอาคมทำเสน่ห์เมตตามหานิยมให้ผู้ที่เชื่อในเรื่องของคุณไสย และลงมือสังหารเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคนแล้วคนเล่าเพียงเพื่อต้องการทรัพย์สมบัติมาเป็นของตน โดยอำพรางคดีด้วยการหั่นศพใส่หีบเหล็ก และในที่สุดวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็แสดงอาถรรพ์ให้ทกคนได้เห็น จนในที่สุด "บุญเพ็ง" ก็ถูกจับและศาลตัดสินประหารชีวิตด้วยการกุดหัวเป็นคนสุดท้าย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 242 ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยในขณะที่ต่างประเทศได้ให้ความสนใจถึงขนาดตั้งฉายาของ"บุญเพ็ง หีบเหล็ก"ว่า"THE MURDERESS IRON BOX "หรือฆาตกร ผู้อำพลางด้วยหีบเหล็กย้อนรอยชีวิตฆาตกร หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ช่วงนั้นได้มีการประหารนักโทษสำคัญท่านหนึ่ง ซึ่งที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า "บุญเพ็ง" ซึ่งก่อคดีฆ่าคน ตายหลายชีวิต และศพที่ "บุญเพ็ง" ฆ่านั้นก็ได้นำมาใส่หีบเหล็ก แล้วโยนทิ้งน้ำทุกครั้ง จนชาวบ้านขนานนามว่า ซึ่งนับว่า "บุญเพ็ง" เป็นนักโทษประหารคนสุดท้าย ของกรุงรัตนโกสินทร์ บุญเพ็งเดิมเป็นชายหนุ่มรูปงามนักเป็นที่เลื่องลือ และกล่าวขาน เขากำพร้าพ่อแม่แต่เล็ก อยู่กับตายาย ชื่อตาสุก และยายเพียร ซึ่งเฝ้าเลี้ยงดูอย่างทนุถนอมมา แต่ หนุ่มบุญเพ็ง ไม่เอาไหน งานการไม่อยากทำ โดยปล่อยให้ตายาย ไปทำนาตามประสา ส่วนตัวเองกลับสนใจวิชาทางด้านไสยศาตร์เวทมนต์และ ได้ไปขอเรียนวิชาอาคม กับ ตาไปล่ สัปเหร่อวัดไผ่เคาะ ผู้มีวิชาดี ทาง กำจัดภูติผี ปีศาจ และทำเสน่ห์ยาแฝด และหมอดู บุญเพ็งเรียนจบครบหลักสูตรวิชาไสยศาตร์ประเภทมนต์ดำฝังรูปฝังรอย พร้อมวิชาหมอดู นอกจากเขาจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น เขายังมีกิริยานอบน้อม เจรจาพาทีไพเราะ จนสาว ๆ ทั้งหลายทอดสายตาให้ วิชาที่บุญเพ็งเรียนมา เป็นวิชาที่ไม่ให้คุณใคร และตาสุก ยายเพียรตระหนักดี แกคอยห้ามปราม ต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากบุญเพ็งเท่าที่ควร ต่อมาเขาได้เติบโตเป็นหนุ่ม ถูกตายายดุด่า ห้ามปรามไม่ให้เล่นวิชาไสยศาสตร์ เขาจึงทนไม่ไหว และมุ่งหน้าเข้าสู่บางลำภู ที่บางกอก (กรุงเทพฯ) มาตั้งสำนักหมอผี อยู่ในสวน ใกล้คลองบางลำภู เปิดสำนักดูหมอสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต รับทำเมตตามหานิยม เสน่ห์ยาแฝด และไสยศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นมีคนมาหาแวะเวียนมากมาย บุญเพ็งมีคนรักชอบพอมากมายเนื่องจากเป็นคนรูปร่างดี พูดจาไพเราะอ่อนหวาน กับอีกด้าน ก็มีคนไม่ชอบอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ศัตรูก็ไม่น้อย ที่สำนักของเขามีหีบเหล็กโบราณ อยู่ถึง 7 ใบ ช่วงนั้นผู้หญิงได้ไปติดพัน ไปหาตอนกลางคืน และนั่งคุยจนดึกดื่น ก็ต่างตกเป็นทาสสวาทของเขาทั้งสิ้น นานวันเข้าผู้หญิงคนนั้นก็หายไปอย่างลึกลับ ไร้ร่องรอย พร้อมกับหีบเหล็กที่หายไปทีละ 1 ใบ พฤติกรรมของเขา ที่เล่นบทรักกับผู้หญิงอย่างซาดิสม์ ทารุณ จนขาดใจตาย แล้วเขาจะใช้มีดสับศพเป็นท่อน ๆ ยัดใส่หีบเหล็ก นำไปทิ้งลงคลองย่านบางลำภูเพื่อทำลายหลักฐานซึ่งนับว่าเป็นการกระทำที่สุดเหี้ยมโหดในสมัยนั้น ก็มีผู้หญิงคนแล้วคนเล่าที่ต้อง มาสังเวยชีวิตให้กับบุญเพ็ง คนสุดท้ายเป็นคุณนาย ที่สามีทอดทิ้ง รูปร่างดี แต่งกายทองเต็มตัว บุญเพ็งก็เสพสมแล้ว กลายเป็นขาประจำ จนกระทั่งวันหนึ่ง หญิงคนนั้นก็เกิดตั้งท้อง ยื่นคำขาดให้บุญเพ็งรับผิดชอบเป็นเมียอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งบุญเพ็งจะบ่ายเบี่ยงตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงต้อง ฆ่าหญิงคนนั้นเสีย แล้วนำศพหั่นเป็นท่อน ๆ ยัดลงหีบนำไปทิ้งลงคลองอีกเช่นเคย "และเป็นหีบใบสุดท้ายที่มี" ซึ่งหลังจากนั้นเริ่มระแคะระคาย บุญเพ็งจึงลี้ภัยที่รู้ว่าจะมาหาตัว หนีไปบวชเป็นพระที่วัดแถวอยุธยา หลังจากนั้นซึ่งไม่รู้ว่าเป็น กรรมเวรอะไร ทำให้บุญเพ็งต้องสึกออกมาเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงที่หมายปอง และคืนนั้นเองที่ ยังไม่ทันจะได้ถึงสวรรค์ ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาล้อมจับไว้อย่างละม่อมในข้อหา ฆ่าคนตายอย่างเหี้ยมโหด เรื่องราวทั้งหมดสืบเนื่องมาจากได้มีชาวบ้านไปทอดแห แล้วเจอหีบทั้ง 7 ใบ ในนั้นมีซากศพเป็นท่อน ๆ อยู่ในหีบทุกใบ จึงต้องโทษ และถูกตัดสิน โดยการประหารชีวิต เป็นการลงโทษที่หนักที่สุด ซึ่งในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคน แม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทัน จะส่งตัวเข้าห้องหอ ก็ไม่มา แต่.................. มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยครับ เนื่องจากระหว่างที่นายบาปเพ็ง เอ้ย.............บุญเพ็งจะถูกประหารเนี่ย ในช่วงประหารชีวิตนั้นเอง เพชรฆาต รำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคบกริบลงบนคอ แทนที่คอจะ ขาดเลือดพุ่งกระฉูด กลับกลายเป็นว่า คมดาบนั้นไม่ได้ระคายเคืองผิวเลย จนเพชรฆาตรพูดว่า "มึงมีอะไรดี ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นเพชรฆาต ก็เอาพระเขวี้ยงทิ้งไปในกอไผ่ คราวนี้รำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอ ทันใดนั้นดาบหลังฟันดัง ฉับ!!!! คราวนี้ คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวีดว้ายระงม เพราะ................ว่าๆกันว่า ขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชรฆาตฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆ ชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็ง ขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรสักอย่าง ซึ่งว่ากันว่า อาจจะเป็นไพ่ตาย คุณไสย์ครั้งสุดท้ายของเขาเผื่อจะป้องกันชีวิตของเขาได้ครับ แต่ผมว่าของดีของบุญเพ็งน่าจะเสื่อมไปนานแล้วละครับ เพราะผู้หญิงกับคุณไสย ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ของดีเช่นคาถา อาคมของเขาจึงเสื่อมด้วยประการฉะนี้ ศพของบุญเพ็ง หีบเหล็ก ถูกนำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่า รอยสักช่วงแผ่นหลัง ของเขา เผาไฟไม่ไหม้ ญาติเก็บกระดูกใส่เจดีย์ไว้ข้างอุโบสถ์วัด จนช่วงหลังเจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษี จึงได้ให้ช่างปั้นรูปปั้นจำลอง ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อ พ.ศ.2537 ตั้งไว้ในศาลเล็ก ๆ ติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่า เขาเป็นนักโทษประหารคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2474 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2475 ศาลลุงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาง และเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จนถึงทุกวันนี้เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อนนับพันปี นับว่าเขาคือ นักโทษคนสุดท้ายที่ได้รับโทษประหารชีวิตด้วยการบั่นศีรษะ และบุญเพ็ง คือ ฆาตกรฆ่าหั่นศพคนแรกของเมืองสยาม สิ่งที่ทำให้บุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้กระทำความผิดนั้น มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ *กิเลส* ในจิตใจของเขานั่นเอง มนต์ดำ คือของนอกรีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักคำสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสิ่งที่คอยผูกมัดมนุษย์ด้วยความกลัว ความโลภ ความหลง และสิ่งที่เขาได้รับเป็นผลตอบแทนจากกรรมของเขา จะเป็นบทเรียนที่สำคัญให้แก่นักเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำนอกรีต ดังนั้น ประวัติของบุญเพ็ง หีบเหล็ก จึงจบลงด้วยประการนี้ครับ........................................
เรื่องนี้มีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ถึง 2 ครั้งในปี 2510 และ 2523 โดยผู้กำกับ พยุง พยกุล คนเดียวกัน และมีดารานำคือ สมบัติ เมทะนี และ ปริศนา ชบาไพร นำแสดง ต่างกันตรงดารารอง โดยปี 2510 มีแมน ธีระพล และดาวยั่ว ชฏาพร วชิรปราณี แสดง และในปี 2523 มี ไพโรจน์ ใจสิงห์ และ สุพรรณี จิตต์เที่ยง, ลลิตา กระแสนิธิ
เขียนซะยาวเหยียดเลย เอาไปนว่าลอง download ไปชมกันเลยครับ

ทักทายกันก่อน

โผล่มาอีก blog นึงนะครับเป็น blog สำหรับคนชอบดูหนัง เฉพาะในโทรศัพท์มือถือนะครับ แต่ถ้าจะเอาไปดูบนคอมพิวเตอร์ก็ไม่มีใครว่าอะไร เพียงแต่มันจะไม่ชัดเอามากๆ จนดูไม่รู้เรื่องน่ะครับ ผมชอบมีหนังติดโทรศัพท์เอาไว้ดูเวลาว่างๆ มันสะดวกดีครับ ผมทำเป็น file .3gp เพราะมีขนาดเล็กไม่เปลืองหน่วยความจำของโทรศัพท์ หนังทั้งเรื่องขนาดความจำ 1.5 GB พอทำเป็น .3gp เหลือแค่ 40 กว่า MB เท่านั้นเองครับเท่ากับ file เพลง mp3 ประมาณ 10 เพลงเท่านั้น ผมจะ upload file เอาไว้ download กันเอาเองนะครับ หนังที่ผมทำอาจจะถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้างก็ต้องขออภัย เพราะผมต้องคัดเลือกทำเฉพาะเรื่องที่ไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ครับ เดี๋ยวโดนจับขึ้นมาจะไม่คุ้มกัน อยากดูเรื่องไหน ment ทิ้งไว้นะครับถ้าผมหาได้ และไม่ติดเรื่องลิขสิทธิ์ผมจะทำให้ครับ